ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา คดีความบริษัทไร่ส้ม-สรยุทธ
สุทัศนะจินดา พิธีกรข่าวชื่อดัง เป็นกรณีที่สังคมต่างจับจ้องเป็นอย่างมาก
ซึ่งทุกฝ่ายต่างมีความเห็นที่แตกต่างกันไป
http://www.dailynews.co.th
ในทางกฎหมาย
การกระทำของนายสรยุทธถือว่ามีความผิดตามประมวลกฎหมาย ในคดีความยักยอกทรัพย์
ส่วนนี้ ผิดก็ว่าไปตามผิด ณ ตอนนี้ก็ยังถือว่า ยังไม่ถึงที่สุด
เพราะสามารถสู้คดีความต่อได้
ส่วนนี้
ผมก็จะขอพูดถึงการยักยอก+เวลา ครั้งนี้ ทาง อสมท. เป็นภาครัฐวิสาหกิจที่มีเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมด้วยก็
คือ การยักยอกทั้งภาครัฐและภาคเอกชน
อย่างไรก็ตามก็ต้องรอการตัดสินพิจารณาคดีกันต่อไป
จากการสืบค้นข้อมูลย้อนหลังในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา
พบว่า ทางบริษัทไร่ส้มนี้มีเจตนาตั้งต้นแต่แรกอยู่แล้ว
โดยทางนายสรยุทธเองก็รู้ถึงความผิดที่จะเกิดขึ้น เพราะ
นายสรยุทธได้เรียนทางด้านกฎหมาย
แต่ด้วยเหตุผลส่วนตัวจึงเข้ารับตำแหน่งเก้าอี้ประธานบริษัท
วิธีการโกงโฆษณานั้น คือ
การแทรกแซงในส่วนเล็กส่วนน้อย โดยมีวิธีการปรับเพิ่มโฆษณาทีละนิด ในปี 2548-2549 ซึ่งรวมๆแล้วก็ถือว่า
เป็นเม็ดเงินที่มีความเสียหายสูง กว่า 138 ล้านบาท
ในช่วงวันหยุดที่ผ่านมา
ผมได้คุยกับบริษัทบัญชีและทางบริษัทการค้า รวมถึงด้านกฎหมาย
ทุกคนต่างพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเรื่องนี้ มีความเห็นที่แตกต่างกันไป
โดยหลักๆ ก็เห็นตรงกันว่า มีความผิดจริง
ประเด็นร้อนที่คนในแวดวงสังคมธุรกิจพูดกัน
คือ หน่วยงานปราบปรามคอรัปชั่นต่างๆ ณ ตอนนี้ มีความกระตือรือร้นเป็นพิเศษ
กว่าช่วงปกติไปหรือเปล่า แท้ที่จริงคดีความชุดนี้
ถูกตั้งใจหยิบยกขึ้นมาเพื่อสร้างผลงานชิ้นโบว์แดง
ช่วยลบล้างข้อบกพร่องที่ผ่านมาของหน่วยงานต่างๆ
โดยทางปปช.เตรียมยื่นฟ้องในคดีนี้เอง หลังอัยการสูงสุด ตีกลับสำนวนคดีนี้
วาทกรรมชิ้นใหญ่จากกระแสโจมตีของนายสรยุทธ
มีส่วนเอี่ยวมาเกี่ยวข้องก็อยู่ 2
อย่างที่เห็นได้ชัดๆ ก็คือ เสื้อเหลือง-เสื้อแดง
และวาทกรรมเบื้องหลังการล้มขั้วอำนาจสื่อ
ผมคิดว่า ต้นไม้ยิ่งใหญ่
เวลาลมพายุโหมมาก็ย่อมมากและแรงเป็นธรรมดา
โดยตัวนายสรยุทธก็เป็นบุคคลสำคัญของทางช่อง 3 รวมถึงเป็นที่ยอมรับของสังคม
มีทั้งผู้ที่ชื่นชอบและไม่ชื่นชอบเป็นธรรมดา
ส่วนนี้ คิดว่า
การทำหน้าที่ของสื่อของทางนายสรยุทธก็สามารถมีการดำเนินต่อไปได้ เพราะ
มองในมุมของการกระทำความผิดยักยอกทรัพย์ แต่ทางด้านสื่อนี้มองว่า ไม่มีความผิด
แต่ที่ด้วยเหตุผลการลาออกของนายสรยุทธ เป็นเพราะ ถูกกระแสสังคมกดดัน
อีกทั้ง
การทำงานก็สามารถทำต่อไปได้ เพราะ คดีความยังไม่สิ้นสุด แต่หากบอกว่า
ทำไม่ได้เพราะอะไร?? การที่เราจะวัดชั่งน้ำหนักต่างๆ
เราต้องอยู่ในฐานของความเป็นจริง
สมมติถ้านายสรยุทธเปิดร้านขายข้าวแต่ยักยอกทรัพย์
เพียงเท่านี้ก็ต้องปิดร้านแล้วจริงหรือ?? ผิดจรรยาบรรณพ่อค้าแม่ค้าแล้วหรือ??
แต่สิ่งที่ได้เพิ่มเติม
นำมาสู่การขบคิดและตั้งคำถามเพื่อต่อยอด ผมเห็นถึง ช่องโหว่ ที่ว่าด้วย
องค์กรอิสระเหล่านี้ อิสระจริงๆหรือเปล่า ก็ได้ไปค้นหาพบว่า
มีบทความที่น่าสนใจอยู่ชิ้นหนึ่งที่พูดถึง อิงค์กรอิสระซึ่งมันไม่เป็นอิสระจริงๆ
อย่างที่เราๆ เห็นกันอยู่ เพียงแค่สร้างขึ้นมาบดบังเท่านั้น เพราะ
องค์กรเหล่านี้ก็ไม่สามารถมีใครตรวจสอบได้ จะมีก็แต่การตรวจสอบกันเอง รวมถึง
ก็ยังคงเป็นทาสเงินของรัฐบาลอยู่ดีไม่ใช่หรือ??
ถ้าเอากันจริงๆ
องค์กรอิสระ มีจุดประสงค์สร้างขึ้นเพื่อไม่ให้มีความผิด เพื่อให้ทุกคนเชื่อมั่น
ไม่สามารถเห็นต่างได้ เหมือนเป็นความคิดที่ว่า
อิสระไม่มีคนควบคุมเป็นกลางอะไรทำนองนั้น
มองย้อนไปก็จะเห็นถึง
มาตรฐานที่ไม่เป็นธรรม ขนาดหน่วยงานที่ได้ชื่อว่า อิสระยังไม่มีความยุติธรรม
จะให้มองว่าอิสระก็คงยาก จากการกระทำที่ผ่านๆ มา
อย่างกรณีเขายายเที่ยง
ชาวบ้านตีนเขาถูกจับโดนข้อหาไรต่อมิไร ส่วนทางนายสุรยุทธ
ได้การ์ดรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไม่ได้มีเจตนาบุกรุกผืนป่า
(แต่ก็สร้างเสร็จแล้วอยู่บนยอดเขา)
อีกกรณีนึง
ที่เพิ่งผ่านไปไม่นานนี้ คดีความรถหรูของสมเด็จช่วง
เรื่องนี้เองก็ได้เงียบลงไปแล้ว เนื่องจาก คดีความพลิก
ความผิดก็ตกไปอยู่ที่ช่างประกอบรถหรูคันดังกล่าวเรียบร้อย
โดยทางทนายความคนใหม่ได้แจ้งและส่งเรื่องต่อ DSI ว่า
สมเด็จช่วงไม่ได้เป็นเจ้าของโดยมีคนส่งมอบให้ซึ่งเป็นพระผู้น้อย
โดยได้สั่งประกอบจากช่าง ซึ่ง ณ ตอนนี้
ความผิดก็ตกไปอยู่ที่ช่างซึ่งเป็นคนประกอบรถ เอาง่ายๆ ก็คือ
ประกอบมาได้อย่างไรรถที่ไม่มีใบอนุญาติ
ผมมองว่า เรื่องพวกนี้
ความถูกความผิด มันก็ไม่มีอะไรแน่นอน กระดูกเบอร์ใหญ่กว่าก็รอดแค่นั้น ซึ่งกรณีนี้
ก็ถูกยกมาโจมตีจาก เรื่องพระเสื้อเหลือง-เสื้อแดง กันแหละ จริงๆ ไม่มีอะไรมาก
เป็นเรื่องของผลประโยชน์ที่กินกันไม่ลง
อีกอย่างหนึ่ง
กฎหมายที่เขียนขึ้นนั้น มันย่อมมีช่องโหว่เป็นธรรมดาไม่ว่าจะของประเทศอะไรก็ตาม
ที่ถูกเขียนขึ้นให้มีช่องโหว่นั้น อาจเป็นเพราะทางหน่วยงานต่างๆ ตามไม่ทัน
หรือจะด้วยเหตุผลที่ว่า เอื้อต่อการทุจริต แต่ด้วยหลักฐานที่ไม่เพียงพอ
ก็ทำให้สังคมไม่สามารถโต้แย้งไรได้มาก
จากเหตุการณ์ครั้งนี้ ก็มีอะไรให้น่าขบคิดต่อยอด เกี่ยวกับการทำงานขององค์กรต่างๆ เหล่านี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น