วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559


กฎหมายป้องกันปราบปรามการทุจริต 

แท้จริงแล้วเอาอยู่ไหม?


ตั้งแต่ปี 2542 จนถึงปัจจุบันการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในประเทศไทย ให้ความสำคัญเรื่องเกี่ยวกับการลงโทษหรือเอาผิดการกระทำทุจริตมากขึ้น โดยการเพิ่มบาทบาทในการทำงานของหน่วยงานต่างๆ ในการใช้กฎหมายเพื่อลงโทษผู้กระทำผิด อย่างการเพิ่มอำนาจการทำงานให้กับ ป.ป.ช. (คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ) การตั้ง ป.ป.ท. (คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ) มาดูแลปัญหาคอร์รัปชันระดับเล็กๆ การมอบอำนาจให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI ทำคดีพิเศษจำพวกคดีฮั้วประมูล รวมถึงการทำหน้าที่ของ สตง. (สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน) ที่เดินหน้าตรวจสอบอย่างดุเดือด

ข้อสังเกตสำคัญประการหนึ่งของการปราบปรามทุจริตในประเทศไทยเห็น มุ่งเน้นไปที่ตัวผู้ทุจริต โดยเพิ่มบทลงโทษให้หนักขึ้น ซึ่งเรียงลำดับเหตุการณ์สำคัญได้ ดังนี้

ในปี พ.ศ.2542
การตรา พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2542 ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต บัญญัติบทลงโทษไว้ในหมวด 11 บทกำหนดโทษ (มาตรา 118-123) โดยระวางอัตราโทษไว้ครบทั้งโทษปรับ จำคุก และทั้งจำทั้งปรับ

การตรา พ.ร.บ. ว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานรัฐ พ.ศ. 2542 บัญญัติบทลงโทษเจ้าหน้าที่รัฐที่มีพฤติการณ์สมยอมกันในการเสนอราคาตามมาตรา 10-13 ซึ่งมาตรา 11-13 ระวางโทษไว้รุนแรงที่สุด คือ จำคุกตลอดชีวิต และปรับสูงสุด 400,000 บาท อย่างไรก็ดี น่าสนใจว่าอัตราโทษของกฎหมายฉบับนี้มีโทษจำคุกและโทษปรับ แต่จะไม่มีโทษทั้งจำทั้งปรับเหมือนกับกฎหมาย ป.ป.ช.

              ต่อมา ในปี พ.ศ.2554
คณะกรรมการ ป.ป.ช. ขอเสนอปรับปรุง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 นับเป็นการแก้ไขกฎหมายครั้งที่ 2 โดยบัญญัติบทลงโทษเพิ่มจากมาตรา 123 เป็น มาตรา 123/1 ที่บัญญัติไว้ว่า กรณีที่เจ้าหน้าที่รัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต มีอัตราโทษสูงสุด คือ การจำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับสูงสุด 400,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ล่าสุด ในปีที่ผ่านมา พ.ศ.2558
สภานิติบัญญัติแห่งชาติผ่าน พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2558 ซึ่งเป็นการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายป้องกันและปราบปรามการทุจริตโดยเพิ่มบทลงโทษให้รุนแรงขึ้น เริ่มตั้งแต่ มาตรา 123/2 เพิ่มโทษการทุจริตสูงสุด คือ การประหารชีวิต มาตรา 123/6 เพิ่มบทบัญญัติเรื่องการริบทรัพย์ รวมถึงมาตรา 74/1 เพิ่มเรื่องหยุดนับอายุความกรณีที่ผู้ถูกกล่าวหาหรือจำเลยหลบหนี (ดูจากไซส์บาร์เพิ่มเติม)

http://thaipublica.org

ข้อมูลที่หยิบยกมา จะเห็นได้ว่า นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 เป็นต้นมา คณะกรรมการ ป.ป.ช. กลายเป็นหน่วยงานหลักที่ทำหน้าที่ปราบปรามการทุจริตภายใต้กฎหมายสำคัญ 2 ฉบับ คือ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และ พ.ร.บ.ความผิดว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานรัฐ พ.ศ. 2542 ซึ่งบังคับใช้เพื่อป้องกันการทุจริต พบว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. พยายามแก้ไขปัญหาทุจริตด้วยวิธีการเพิ่มต้นทุนให้กับผู้กระทำการทุจริตผ่านการเพิ่มบทลงโทษซึ่งมีการปรับปรุงกฎหมายมาตั้งแต่ฉบับที่ 2 ปี 2554 และฉบับที่ 3 ปี 2558

ป.ป.ช แก้ไขกฎหมายฉบับใหม่ ปี 2558 โทษสูงสุดของการทุจริตคือการประหารชีวิต นอกจากนี้ยังเพิ่มต้นทุนผู้ทุจริตด้วยการริบทรัพย์ และหยุดนับอายุความ กรณีที่ผู้ทุจริตหรือผู้ถูกกล่าวหาหลบหนี ต่างจากเดิมที่ โทษสูงสุดของกฎหมายป้องกันและประปราบการทุจริต คือจำคุกไม่เกิน 10 ปี

การปรับแก้กฎหมายให้มีการเพิ่มโทษที่รุนแรงขึ้น รวมถึงริบทรัพย์และหยุดอายุความกรณีที่ผู้กระทำผิดหลบหนี ถือได้ว่า เป็นตัวบ่งชี้ถึงผู้ที่ตัดสินใจจะกระทำผิดให้ มีการคิดก่อนลงมือกระทำผิด เนื่องจาก ต้นทุนสูงสุดของการทุจริต คือ การประหารชีวิตและถูกริบทรัพย์

ถึงแม้จะมีการปรับปรุงกฎหมายให้เข้มงวดมากขึ้น แต่ก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่าการกระทำการทุจิตในประเทศไทยจะลดลง เพราะ กระบวนการปราบปรามการทุจริตยังเป็นไปอย่างล่าช้า ซึ่งเปรียบเสมือนช่องโหว่ให้ผู้กระทำความผิดได้มีเวลาหลบหนีออกนอกประเทศ หรือโยกย้ายทรัพย์ไปยังที่ต่างๆ สิ่งนี้อาจทำให้ผู้คิดจะทำการทุจริตไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายที่ตามมาและหันมาตัดสินใจทำกันมากขึ้น อย่างคดีความของแคลิฟอเนียว้าวที่มีการยืดเยื้อมาเป็นระยะเวลานานหลายปี ปัจจุบันคดีความนี้ ก็ยังไม่ได้รับการตัดสินพิจารณาคดีหาข้อสรุป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น