กฎหมายป้องกันปราบปรามการทุจริต
แท้จริงแล้วเอาอยู่ไหม?
ตั้งแต่ปี 2542 จนถึงปัจจุบันการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในประเทศไทย
ให้ความสำคัญเรื่องเกี่ยวกับการลงโทษหรือเอาผิดการกระทำทุจริตมากขึ้น โดยการเพิ่มบาทบาทในการทำงานของหน่วยงานต่างๆ
ในการใช้กฎหมายเพื่อลงโทษผู้กระทำผิด อย่างการเพิ่มอำนาจการทำงานให้กับ ป.ป.ช.
(คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ) การตั้ง ป.ป.ท.
(คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ) มาดูแลปัญหาคอร์รัปชันระดับเล็กๆ
การมอบอำนาจให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI ทำคดีพิเศษจำพวกคดีฮั้วประมูล
รวมถึงการทำหน้าที่ของ สตง. (สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน)
ที่เดินหน้าตรวจสอบอย่างดุเดือด
ข้อสังเกตสำคัญประการหนึ่งของการปราบปรามทุจริตในประเทศไทยเห็น
มุ่งเน้นไปที่ตัวผู้ทุจริต โดยเพิ่มบทลงโทษให้หนักขึ้น
ซึ่งเรียงลำดับเหตุการณ์สำคัญได้ ดังนี้
ในปี พ.ศ.2542
การตรา
พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2542 ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
บัญญัติบทลงโทษไว้ในหมวด 11 บทกำหนดโทษ (มาตรา 118-123) โดยระวางอัตราโทษไว้ครบทั้งโทษปรับ
จำคุก และทั้งจำทั้งปรับ
การตรา พ.ร.บ. ว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานรัฐ
พ.ศ. 2542 บัญญัติบทลงโทษเจ้าหน้าที่รัฐที่มีพฤติการณ์สมยอมกันในการเสนอราคาตามมาตรา
10-13 ซึ่งมาตรา 11-13 ระวางโทษไว้รุนแรงที่สุด คือ จำคุกตลอดชีวิต
และปรับสูงสุด 400,000 บาท อย่างไรก็ดี น่าสนใจว่าอัตราโทษของกฎหมายฉบับนี้มีโทษจำคุกและโทษปรับ
แต่จะไม่มีโทษทั้งจำทั้งปรับเหมือนกับกฎหมาย ป.ป.ช.
ต่อมา ในปี พ.ศ.2554
คณะกรรมการ ป.ป.ช. ขอเสนอปรับปรุง
พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 นับเป็นการแก้ไขกฎหมายครั้งที่
2 โดยบัญญัติบทลงโทษเพิ่มจากมาตรา 123 เป็น มาตรา 123/1
ที่บัญญัติไว้ว่า
กรณีที่เจ้าหน้าที่รัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่
หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ
เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด
หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต มีอัตราโทษสูงสุด คือ
การจำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับสูงสุด 400,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ล่าสุด ในปีที่ผ่านมา พ.ศ.2558
สภานิติบัญญัติแห่งชาติผ่าน
พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 (ฉบับที่ 3)
พ.ศ.
2558 ซึ่งเป็นการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายป้องกันและปราบปรามการทุจริตโดยเพิ่มบทลงโทษให้รุนแรงขึ้น
เริ่มตั้งแต่ มาตรา 123/2 เพิ่มโทษการทุจริตสูงสุด คือ การประหารชีวิต
มาตรา 123/6 เพิ่มบทบัญญัติเรื่องการริบทรัพย์ รวมถึงมาตรา 74/1 เพิ่มเรื่องหยุดนับอายุความกรณีที่ผู้ถูกกล่าวหาหรือจำเลยหลบหนี
(ดูจากไซส์บาร์เพิ่มเติม)
http://thaipublica.org
ข้อมูลที่หยิบยกมา จะเห็นได้ว่า นับตั้งแต่ปี
พ.ศ. 2542 เป็นต้นมา คณะกรรมการ ป.ป.ช.
กลายเป็นหน่วยงานหลักที่ทำหน้าที่ปราบปรามการทุจริตภายใต้กฎหมายสำคัญ 2 ฉบับ คือ
พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และ
พ.ร.บ.ความผิดว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานรัฐ พ.ศ. 2542 ซึ่งบังคับใช้เพื่อป้องกันการทุจริต
พบว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช.
พยายามแก้ไขปัญหาทุจริตด้วยวิธีการเพิ่มต้นทุนให้กับผู้กระทำการทุจริตผ่านการเพิ่มบทลงโทษซึ่งมีการปรับปรุงกฎหมายมาตั้งแต่ฉบับที่
2 ปี 2554 และฉบับที่ 3 ปี 2558
ป.ป.ช แก้ไขกฎหมายฉบับใหม่ ปี 2558 โทษสูงสุดของการทุจริตคือการประหารชีวิต
นอกจากนี้ยังเพิ่มต้นทุนผู้ทุจริตด้วยการริบทรัพย์ และหยุดนับอายุความ กรณีที่ผู้ทุจริตหรือผู้ถูกกล่าวหาหลบหนี
ต่างจากเดิมที่ โทษสูงสุดของกฎหมายป้องกันและประปราบการทุจริต คือจำคุกไม่เกิน 10
ปี
การปรับแก้กฎหมายให้มีการเพิ่มโทษที่รุนแรงขึ้น
รวมถึงริบทรัพย์และหยุดอายุความกรณีที่ผู้กระทำผิดหลบหนี ถือได้ว่า
เป็นตัวบ่งชี้ถึงผู้ที่ตัดสินใจจะกระทำผิดให้ มีการคิดก่อนลงมือกระทำผิด เนื่องจาก
ต้นทุนสูงสุดของการทุจริต คือ การประหารชีวิตและถูกริบทรัพย์
ถึงแม้จะมีการปรับปรุงกฎหมายให้เข้มงวดมากขึ้น
แต่ก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่าการกระทำการทุจิตในประเทศไทยจะลดลง เพราะ
กระบวนการปราบปรามการทุจริตยังเป็นไปอย่างล่าช้า
ซึ่งเปรียบเสมือนช่องโหว่ให้ผู้กระทำความผิดได้มีเวลาหลบหนีออกนอกประเทศ
หรือโยกย้ายทรัพย์ไปยังที่ต่างๆ
สิ่งนี้อาจทำให้ผู้คิดจะทำการทุจริตไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายที่ตามมาและหันมาตัดสินใจทำกันมากขึ้น
อย่างคดีความของแคลิฟอเนียว้าวที่มีการยืดเยื้อมาเป็นระยะเวลานานหลายปี
ปัจจุบันคดีความนี้ ก็ยังไม่ได้รับการตัดสินพิจารณาคดีหาข้อสรุป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น